October 31, 2025

ในยุคที่เทคโนโลยีสุขภาพ (HealthTech) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ไปจนถึงการใช้ AI วิเคราะห์โรค ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา แต่ในขณะเดียวกัน "ข้อมูล" เหล่านี้ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่
ระบบการจัดการข้อมูลผู้ป่วยแบบดั้งเดิมมักประสบปัญหา "ข้อมูลแยกส่วน" (Siloed Data) กล่าวคือ ประวัติการรักษาของคุณที่โรงพยาบาล A ไม่สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลที่โรงพยาบาล B ได้โดยง่าย ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน, การวินิจฉัยที่ล่าช้า และอาจเกิดข้อผิดพลาดในการรักษา ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด การโจมตีทางไซเบอร์เพื่อขโมยข้อมูลสุขภาพมีมูลค่ามหาศาลในตลาดมืด ทำให้ข้อมูลที่ควรจะ "เป็นส่วนตัว" ที่สุด กลับกลายเป็น "เปราะบาง" ที่สุด
ด้วยเหตุนี้ โลกการแพทย์จึงจำเป็นต้องมองหานวัตกรรมที่จะมายกระดับการจัดการข้อมูลให้ปลอดภัย, โปร่งใส และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และหนึ่งในคำตอบที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบันคือ "Blockchain Health Record" (เวชระเบียนบล็อกเชน) เทคโนโลยีที่จะเข้ามาพลิกโฉมการจัดการข้อมูลผู้ป่วยไปตลอดกาล
Blockchain Health Record (BHR) คือ แนวคิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นระบบประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) มาใช้ในการ "จัดการ" เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EHRs)
หลักการทำงานสำคัญ:
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า BHR คือการนำข้อมูลสุขภาพทั้งหมด (เช่น ไฟล์ MRI หรือประวัติการรักษา) ไปเก็บไว้บนบล็อกเชน ซึ่งในความเป็นจริง นั่นเป็นไปได้ยากเนื่องจากขนาดข้อมูลมหาศาลและค่าใช้จ่ายสูง
แต่หลักการของ BHR ที่ใช้กันจริงคือ การใช้ Blockchain เป็น "สมุดบัญชี" (Ledger) ที่บันทึก "ธุรกรรม" เกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพ
ลองนึกภาพว่า ข้อมูลสุขภาพจริงของคุณ (ที่ถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา) ถูกเก็บไว้ในแหล่งเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย (อาจจะเป็น Cloud ของโรงพยาบาล หรือระบบเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์อย่าง IPFS) แต่ "ประวัติการเข้าถึง" และ "สิทธิ์ในการเข้าถึง" ข้อมูลเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชน
ทุกการกระทำจะถูกบันทึกต่อกันเป็น "ห่วงโซ่" (Chain) ที่ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ (Immutable)
ความแตกต่างระหว่างระบบดั้งเดิมและระบบบล็อกเชน:
การนำบล็อกเชนมาใช้ในระบบสุขภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาล 4 ด้านหลัก ดังนี้:
นี่คือจุดเด่นที่สุด ข้อมูลในบล็อกเชนถูก "เข้ารหัส" (Encrypted) ด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูง และเมื่อข้อมูลถูกบันทึกเป็น "บล็อก" แล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือลบได้ (Immutable) หากมีการแก้ไข จะทำได้เพียงการ "เพิ่ม" ธุรกรรมใหม่เพื่อแก้ไขข้อมูลเดิม (Append-only) ทำให้เกิด เส้นทางการตรวจสอบ (Audit Trail) ที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนที่มีสิทธิ์สามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลถูกสร้างหรือเข้าถึงโดยใคร เมื่อไหร่
ในระบบ BHR ผู้ป่วยจะถือ "กุญแจส่วนตัว" (Private Key) ซึ่งเปรียบเสมือนบัตรประชาชนและลายเซ็นดิจิทัล ผู้ป่วยจะกลายเป็น "ผู้เฝ้าประตู" (Gatekeeper) ข้อมูลสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริง เมื่อแพทย์หรือบริษัทประกันต้องการเข้าถึงข้อมูล ผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้อนุมัติ (เช่น ผ่าน Smart Contract) โดยสามารถกำหนดสิทธิ์ได้ละเอียด เช่น "อนุญาตให้แพทย์ A ดูเฉพาะผลเลือด 3 เดือนล่าสุด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง"
ปัญหาการที่โรงพยาบาลไม่สามารถอ่านข้อมูลข้ามระบบกันได้จะหมดไป BHR ทำหน้าที่เป็น "ชั้น" (Layer) กลางที่เชื่อมต่อทุกระบบเข้าด้วยกันโดยใช้มาตรฐานเดียว เมื่อผู้ป่วยย้ายโรงพยาบาล หรือไปพบแพทย์ที่ปรึกษาในต่างประเทศ เขาสามารถอนุญาตให้แพทย์คนใหม่เข้าถึงประวัติการรักษาทั้งหมดได้ทันที ช่วยให้การรักษาต่อเนื่องและแม่นยำ
เมื่อข้อมูลสามารถแลกเปลี่ยนได้สะดวก แพทย์จะเห็นประวัติการรักษาทั้งหมด ลดการสั่งตรวจซ้ำซ้อน (เช่น การ X-Ray หรือตรวจเลือดซ้ำ) ลดความผิดพลาดในการจ่ายยา (เช่น การแพ้ยาที่เคยมีประวัติ) นอกจากนี้ ยังช่วยลดงานธุรการและการจัดการเอกสารมหาศาล ลดต้นทุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลในระยะยาว

แม้ BHR จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้ แต่ก็มีโครงการที่น่าสนใจเกิดขึ้นทั่วโลก:
แนวโน้มในอนาคตชัดเจนว่า การนำ BHR มาใช้จะเริ่มจากกลุ่มเล็กๆ (เช่น เครือโรงพยาบาล) ก่อนจะขยายไปสู่ระดับชาติ เพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง
BHR ไม่ใช่ยาวิเศษที่ไร้ข้อจำกัด การนำไปใช้จริงยังคงมีความท้าทายที่สำคัญ ดังนี้:
แม้จะมีความท้าทาย อนาคตของ BHR ยังคงสดใสและมีทิศทางที่น่าตื่นเต้น:
เป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง "Universal Health Record" ที่ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยสามารถติดตามตัวไปได้ทั่วโลกอย่างปลอดภัย ไม่ว่าคุณจะป่วยฉุกเฉินที่ประเทศไหน แพทย์ท้องถิ่นจะสามารถเข้าถึงประวัติการแพ้ยาของคุณได้ทันที (หากคุณอนุญาต)
นี่คือการปฏิวัติที่แท้จริง อุปกรณ์ IoMT เช่น Smartwatch, เครื่องวัดระดับน้ำตาล, หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ สามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ลงบน BHR ของคุณโดยตรงอย่างปลอดภัยและอัตโนมัติ ทำให้แพทย์สามารถติดตามอาการป่วยเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน, โรคหัวใจ) ได้ตลอดเวลา และปรับเปลี่ยนการรักษาได้ทันท่วงที
BHR จะสร้างแหล่งข้อมูลสุขภาพที่ปลอดภัยและได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย นักวิจัยสามารถใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล (ที่ถูกทำให้ไร้ตัวตน - Anonymized) บนแพลตฟอร์ม BHR เพื่อพัฒนายาใหม่, ค้นหารูปแบบการเกิดโรค หรือสร้างแบบจำลองการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) โดยที่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยไม่รั่วไหล
Q1: Blockchain Health Record (BHR) คืออะไร แตกต่างจากเวชระเบียนแบบเดิมอย่างไร?A1: BHR คือการใช้บล็อกเชนมา "จัดการ" การเข้าถึงเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ข้อแตกต่างหลักคือ BHR เป็นระบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ผู้ป่วยเป็นเจ้าของข้อมูลและควบคุมสิทธิ์เอง (Patient-Centric) มีความปลอดภัยและโปร่งใสสูงมาก ในขณะที่แบบเดิมเป็นระบบรวมศูนย์ (Centralized) ที่โรงพยาบาลเป็นผู้ควบคุม และข้อมูลมักแยกส่วนกัน
Q2: ผู้ป่วยจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูลไม่รั่วไหล?A2: มั่นใจได้ด้วย 3 กลไกหลัก: 1. การเข้ารหัส (Encryption) ข้อมูลถูกเข้ารหัสทั้งในการจัดเก็บและส่งผ่าน 2. การกระจายศูนย์ (Decentralization) ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลางให้แฮกเกอร์โจมตี 3. ความไม่เปลี่ยนรูป (Immutability) ทุกการเข้าถึงถูกบันทึกถาวร ตรวจสอบได้ว่าใครทำอะไรกับข้อมูลบ้าง ทำให้การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตแทบเป็นไปไม่ได้
Q3: หากต้องการแก้ไขข้อมูล (เช่น ผลเลือดผิด) ในระบบ Blockchain ต้องทำอย่างไร?A3: เราไม่สามารถ "ลบ" หรือ "แก้ไข" ข้อมูลเดิมที่บันทึกไปแล้วได้ (เพราะเป็น Immutable) แต่ระบบ BHR ที่ดีจะถูกออกแบบมาให้ "เพิ่ม" (Append) ธุรกรรมใหม่เพื่อ "แก้ไข" (Correction) หรือ "ยกเลิก" (Revocation) ข้อมูลเก่า โดยประวัติการแก้ไขทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ ทำให้โปร่งใสกว่าการใช้ปากกาขีดฆ่าหรือลบไฟล์ในระบบเดิม
Q4: โรงพยาบาลจะนำ Blockchain Health Record ไปใช้กับผู้ป่วยทั่วไปได้ง่ายหรือไม่?A4: ในปัจจุบันยัง "ไม่ง่าย" ครับ เนื่องจากมีความท้าทายด้านต้นทุนการลงทุนที่สูง, ความซับซ้อนทางเทคนิค, การสร้างมาตรฐานกลางให้ทุกโรงพยาบาลใช้ร่วมกัน, และประเด็นข้อกฎหมาย (เช่น PDPA) การนำไปใช้จึงมักเริ่มจากโครงการนำร่องเฉพาะทางก่อน คาดว่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะเป็นระบบมาตรฐานทั่วไป
Q5: กรณีฉุกเฉิน (เช่น ผู้ป่วยหมดสติ) สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันทีหรือไม่?A5: นี่คือสถานการณ์ที่ระบบ BHR ต้องออกแบบมาเพื่อรองรับครับ โดยจะมีกลไก "Break-Glass" หรือ "Emergency Access" ซึ่งอนุญาตให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาต (เช่น แพทย์ห้องฉุกเฉิน) สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของผู้ป่วย (เช่น กรุ๊ปเลือด, การแพ้ยา) ได้ชั่วคราวโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากผู้ป่วย แต่ "ทุกการเข้าถึงฉุกเฉินนี้" จะถูกบันทึกลงในบล็อกเชนอย่างถาวร เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบได้ในภายหลังว่าใครเข้าถึงข้อมูลของตนในภาวะฉุกเฉินนั้น
บทความนี้รวบรวมข้อมูลและแนวคิดจากแหล่งข้อมูลชั้นนำด้านเทคโนโลยีและการแพทย์ ดังตัวอย่าง: