November 12, 2025

ในโลกการแพทย์ปัจจุบันที่ข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รังสีแพทย์ต้องเผชิญกับความท้าทายในการวิเคราะห์ภาพสแกนนับพันนับหมื่นภาพต่อวัน ทั้งความเหนื่อยล้า และความต้องการความแม่นยำสูงสุดในทุกเคส แต่ตอนนี้ "ปัญญาประดิษฐ์" หรือ AI กำลังก้าวเข้ามาเป็น "ผู้ช่วยคนสำคัญ" (Co-pilot) ที่จะปฏิวัติวงการรังสีวิทยา บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงการวินิจฉัยโรคจากภาพถ่ายทางการแพทย์หลัก 3 ประเภทอย่าง X-ray, CT Scan และ MRI อย่างไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง และอนาคตของเทคโนโลยีนี้จะก้าวไปในทิศทางไหน
เมื่อเราพูดถึง "AI ในภาพถ่ายทางการแพทย์" เราไม่ได้หมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดา แต่เรากำลังพูดถึงเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง) และ Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก)
หลักการทำงานของมัน (อธิบายอย่างง่าย) คือ นักพัฒนาจะ "สอน" หรือ "ฝึก" (Train) AI ด้วยภาพสแกนทางการแพทย์หลายล้านภาพ ทั้งภาพปกติและภาพที่พบรอยโรค AI จะเรียนรู้การจดจำ "รูปแบบ" (Pattern Recognition) ที่ผิดปกติเหล่านั้น จนกระทั่งมันสามารถระบุความผิดปกติในภาพใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้อย่างแม่นยำ AI จึงกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ ช่วยให้รังสีแพทย์ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น
ภาพ X-ray คือหนึ่งในการตรวจพื้นฐานที่ใช้บ่อยที่สุด และ AI ก็กำลังเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตรวจนี้อย่างมาก
CT Scan ให้ภาพที่ละเอียดและเป็นแบบตัดขวาง (Cross-section) ทำให้เห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน AI จึงเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น
MRI (Magnetic Resonance Imaging) ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงสุด โดยเฉพาะกับเนื้อเยื่ออ่อนและระบบประสาท AI จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการถอดรหัสข้อมูลที่ซับซ้อนเหล่านี้

แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การนำ AI มาใช้ก็ยังมีความท้าทายอยู่บ้าง เช่น:
เทคโนโลยี AI ทางการแพทย์กำลังพัฒนาไปไกลกว่าแค่การวินิจฉัยในปัจจุบัน อนาคตเราอาจได้เห็น:
Q1: AI จะมาแทนที่รังสีแพทย์หรือไม่?A: ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ครับ ปัจจุบัน AI ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้รังสีแพทย์ (Augmented Intelligence) มากกว่า AI ช่วยให้แพทย์ทำงานได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น แต่การตัดสินใจสุดท้ายยังต้องอาศัยประสบการณ์ การวิเคราะห์องค์รวม และบริบทของผู้ป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์เท่านั้นที่ทำได้
Q2: AI วินิจฉัยโรคแม่นยำแค่ไหน?A: ในหลายกรณีที่เฉพาะเจาะจง (เช่น การหาจุดในปอด) AI มีความแม่นยำเทียบเท่าหรือสูงกว่าผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในงานที่ต้องอาศัยการจดจำรูปแบบซ้ำๆ แต่อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำโดยรวมขึ้นอยู่กับคุณภาพของข้อมูลที่ใช้สอน AI และความซับซ้อนของโรคนั้นๆ
Q3: การใช้ AI วินิจฉัยโรคปลอดภัยหรือไม่? ได้รับการรับรองหรือยัง?A: ระบบ AI ทางการแพทย์ที่จะนำมาใช้ในโรงพยาบาล จะต้องผ่านการรับรองจากองค์กรกำกับดูแล (เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ของไทย หรือ FDA ของสหรัฐฯ) เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพเสียก่อน
Q4: โรงพยาบาลในไทยเริ่มใช้ AI พวกนี้แล้วหรือยัง?A: ใช่ครับ หลายโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทยได้เริ่มนำระบบ AI มาใช้ช่วยในการวินิจฉัยภาพถ่ายทางการแพทย์แล้ว โดยเฉพาะในแผนกรังสีวิทยาและศูนย์ตรวจสุขภาพ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและรวดเร็วในการให้บริการ
Q5: AI ตรวจโรคประเภทไหนได้เก่งที่สุด?A: ปัจจุบัน AI เก่งในงานที่ต้อง "ค้นหารูปแบบ" ที่ชัดเจน เช่น การตรวจหาก้อนเนื้อขนาดเล็กในปอด (X-ray), การตรวจหามะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรม, หรือการตรวจหาภาวะเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) อย่างไรก็ตาม AI กำลังพัฒนาให้เก่งขึ้นในการวิเคราะห์โรคที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
Q6: AI ใช้เวลาวิเคราะห์ภาพนานแค่ไหน?A: รวดเร็วมากครับ โดยทั่วไป AI สามารถวิเคราะห์ภาพสแกนเบื้องต้นได้ภายในไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที ซึ่งเร็วกว่ามนุษย์มาก แต่เวลานี้ยังไม่รวมเวลาที่แพทย์ต้องใช้ในการตรวจสอบและยืนยันผลลัพธ์ของ AI อีกครั้ง
Q7: "อคติของข้อมูล" (Data Bias) ใน AI การแพทย์คืออะไร?A: หมายถึงสถานการณ์ที่ AI ทำงานได้ไม่ดีกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากข้อมูลที่ใช้สอน AI ส่วนใหญ่มาจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น หาก AI ถูกสอนด้วยภาพสแกนของคนผิวขาวเป็นหลัก ก็อาจมีความแม่นยำน้อยลงเมื่อใช้วินิจฉัยโรคในคนเอเชียหรือแอฟริกัน นี่คือหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่นักพัฒนาต้องแก้ไข
Q8: ในฐานะผู้ป่วย เราสามารถขอให้ AI ช่วยวิเคราะห์ผลสแกนของเราได้ไหม?A: โดยทั่วไป ผู้ป่วยไม่สามารถ "ขอ" ได้โดยตรง กระบวนการนี้จะเป็นการตัดสินใจของโรงพยาบาลและรังสีแพทย์ หากโรงพยาบาลมีระบบ AI ติดตั้งอยู่ ระบบอาจจะทำงานเบื้องหลังเพื่อช่วยแพทย์คัดกรองอยู่แล้ว โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่ทราบ แต่ผลการวินิจฉัยสุดท้ายจะมาจากแพทย์ผู้รับผิดชอบครับ
AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการรังสีวิทยาอย่างไม่ต้องสงสัย จากเครื่องมือที่ช่วยลดภาระงาน สู่การเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและตรวจจับโรคได้เร็วยิ่งขึ้น หัวใจสำคัญของความสำเร็จไม่ใช่การเลือกระหว่าง "มนุษย์ (แพทย์)" หรือ "AI" แต่เป็นการทำงานร่วมกัน (Human-in-the-loop) เพื่อนำจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมาใช้ มอบการวินิจฉัยและการรักษาที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย
https://www.rsna.org/education/ai-resources-and-traininghttps://www.fda.gov/medical-devices/artificial-intelligence-and-machine-learning-ai-ml-enabled-medical-deviceshttps://www.nature.com/articles/s41591-018-0316-z