December 22, 2025

ในโลกยุค Digital Transformation องค์กรจำนวนมากมักเข้าใจผิดว่าการจ้างทำแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์เป็นเพียงเรื่องของ "การเขียนโค้ด" (Coding) ให้ทำงานได้ตามสั่ง แต่ความจริงที่โหดร้ายคือโปรเจกต์ซอฟต์แวร์กว่า 60% ทั่วโลกประสบความล้มเหลว ส่งมอบงานไม่ได้ หรือระบบพังทันทีที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก สาเหตุหลักไม่ได้มาจากโปรแกรมเมอร์ไม่เก่ง แต่มาจากการขาด "กระบวนการทางวิศวกรรม" ที่เป็นมาตรฐาน
นี่คือจุดตัดสำคัญที่แยก Software House คุณภาพ ออกจากผู้รับจ้างเขียนโปรแกรมทั่วไป และเป็นที่มาของ มาตรฐาน ISO 29110 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software Engineering) ที่จะเปลี่ยนให้ซอฟต์แวร์กลายเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ตรวจสอบได้ และสร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
การเขียนโค้ดโดยไม่มีกระบวนการควบคุม ก็เหมือนงานศิลปะที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์และทักษะเฉพาะตัวของศิลปิน หากศิลปินคนนั้นลาออก งานศิลปะชิ้นนั้นก็ไปต่อไม่ได้ แต่ในโลกธุรกิจ เราต้องการความแน่นอน ความเสถียร และระบบที่ใครก็สามารถมาสานต่อได้
ISO 29110 เข้ามาแก้ปัญหานี้โดยวางโครงสร้าง กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้เป็นระบบอุตสาหกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่าซอฟต์แวร์ที่ได้จะมีคุณภาพสม่ำเสมอ (Quality Assurance - QA) ลดความเสี่ยงเรื่องงบประมาณบานปลาย และส่งมอบงานได้ตรงตามเวลา

ภายใต้มาตรฐาน ISO 29110 การทำงานจะถูกแบ่งออกเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนตามหลักการ SDLC (Software Development Life Cycle) โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเชื่อมโยงทุกขั้นตอนเข้าด้วยกันอย่างมีตรรกะ
จุดเริ่มต้นของความล้มเหลวมักเกิดจาก "ความเข้าใจไม่ตรงกัน" ISO 29110 ให้ความสำคัญสูงสุดกับ Requirement Analysis (การวิเคราะห์ความต้องการ) ในขั้นตอนนี้ ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์จะทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อเปลี่ยน Business Goal ให้เป็น Technical Specification ที่ชัดเจน สิ่งนี้ช่วยป้องกันปัญหา Scope Creep หรือการงอกของเนื้องานที่ทำให้โครงการไม่จบสิ้น
ก่อนจะมีการเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว สถาปนิกซอฟต์แวร์ต้องวางโครงสร้าง System Architecture ให้เรียบร้อย เปรียบเสมือนการเขียนแปลนบ้าน การออกแบบนี้ต้องคำนึงถึง Scalability (การรองรับการขยายตัว) เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ระบบจะยังสามารถรองรับผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องรื้อทำใหม่ทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้ ISO 29110 ทรงพลังคือ Traceability (การตรวจสอบย้อนกลับ) ทุกฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นจะต้องสามารถย้อนกลับไปดูได้ว่า "ตอบโจทย์ Requirement ข้อไหน?" และ "มีการทดสอบ (Test Case) รองรับหรือยัง?" กระบวนการนี้ทำให้ผู้บริหารมั่นใจได้ว่าเงินทุกบาทที่ลงทุนไป ถูกแปลงเป็นฟังก์ชันที่สร้างประโยชน์ให้ธุรกิจจริงๆ ไม่มีฟีเจอร์ส่วนเกินที่ไร้ประโยชน์

ปัญหาคลาสสิกของธุรกิจคือ "โปรแกรมเมอร์คนเก่าออก ระบบก็เป็นอัมพาต" เพราะไม่มีใครรู้ว่าโค้ดทำงานอย่างไร มาตรฐาน ISO 29110 บังคับให้มี Documentation (เอกสารประกอบระบบ) ที่ละเอียดและเป็นปัจจุบัน ตั้งแต่เอกสารการออกแบบ คู่มือการติดตั้ง ไปจนถึงคู่มือผู้ใช้งาน
เอกสารเหล่านี้คือ "กรมธรรม์ประกันความเสี่ยง" ของธุรกิจ ทำให้องค์กรเป็นเจ้าขององค์ความรู้ (Knowledge) ไม่ใช่ตัวบุคคล ช่วยให้การดูแลรักษา (Maintenance) หรือการส่งไม้ต่อให้ทีมใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น
ปลายทางของกระบวนการวิศวกรรมไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ที่ "เปิดติด" แต่ต้องเป็นซอฟต์แวร์ที่ "ทำงานถูกต้อง" ผ่านกระบวนการทดสอบที่เข้มข้น และสุดท้ายคือ UAT (User Acceptance Test) ที่ผู้ใช้งานจริงจะได้ทดสอบระบบในสถานการณ์จำลอง เพื่อยืนยันว่าระบบตอบโจทย์ทางธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์
การเลือกใช้บริการจากผู้พัฒนาที่ยึดถือมาตรฐาน ISO 29110 จึงไม่ใช่การจ่ายค่าจ้างเขียนโค้ด แต่เป็นการลงทุนใน "กระบวนการวิศวกรรม" ที่จะเปลี่ยนไอเดียทางธุรกิจของคุณให้กลายเป็น Digital Platform ที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และพร้อมเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต
References: