E-Commerce คืออะไร? เจาะลึกธุรกิจออนไลน์ พร้อมเทรนด์ปี 2025

February 1, 2024

E-Commerce คืออะไร? เจาะลึกธุรกิจออนไลน์ พร้อมเทรนด์ปี 2025

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป และการค้าขายแบบดั้งเดิมเริ่มถูกแทนที่ด้วยการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือที่เรียกว่า “ E-commerce (อีคอมเมิร์ซ) ” ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน บทความนี้จะพามารู้จักกับ E-commerce ให้มากยิ่งขึ้นกันครับ

E-commerce คืออะไร

อีคอมเมิร์ซ (ถูก) ไม่ใช่ อีคอมเมิส (ผิด)

อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต ที่ไม่จำเป็นต้องมีการติดต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย หรือที่เรียกติดปากกันคือ " การขายของออนไลน์ "

E-commerce ได้รับความนิยมทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ผู้คนต้องหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านเป็นเวลานาน เหตุผลที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาดจนถึงตอนนี้ เป็นเพราะความสะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อสิ่งที่ต้องการ สามารถเข้าถึงตลาดได้ทั่วโลก และต้นทุนหลายอย่างต่ำกว่าการเปิดร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม

ประเภทธุรกิจ E-commerce

ประเภทธุรกิจ E-commerce จะแบ่งได้ตามกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกันในการซื้อขาย ต่อไปนี้

  • B2C (Business to Consumer) การซื้อขายระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค ประเภทที่นิยมมากที่สุดในการทำ E-commerce
  • B2B (Business to Business) การซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ มักเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ หรือบริการที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ
  • C2B (Consumer to Business) การซื้อขายระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ เป็นการที่ผู้บริโภคมีอำนาจในการกำหนดราคา และเงื่อนใขในการซื้อสินค้าหรือบริการ อย่างเช่น เว็บประมูลสินค้า
  • C2C (Consumer to Consumer) การซื้อขายระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค เป็นการที่ผู้บริโภคสามารถขายสินค้าของตนเองให้กับผู้บริโภคคนอื่นได้
  • B2G (Business to Government) การซื้อขายระหว่างธุรกิจกับหน่วยงานราชการ เป็นการที่ธุรกิจให้บริการหรือขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหน่วยงานราชการ
  • C2G (Consumer to Government) การซื้อขายระหว่างผู้บริโภคกับหน่วยงานราชการ เป็นการที่ผู้บริโภคใช้จ่ายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องหน่วยงานราชการ อย่างเช่น เว็บไซต์ชำระภาษี
  • G2B (Government to Business) การซื้อขายระหว่างหน่วยงานราชการกับธุรกิจ เป็นการที่หน่วยงานราชการให้บริการ หรือขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนธุรกิจ อย่างเช่น เว็บไซต์ขอใบอนุญาต
  • G2C (Government to Consumer) การซื้อขายระหว่างหน่วยงานราชการกับผู้บริโภค หรือการที่หน่วยงานราชการให้บริการเกี่ยวกับประโยชน์ของสาธารณะ อย่างเช่น เว็บไซต์ขอทำใบขับขี่

ข้อดีการทำ E-commerce

E-commerce ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภค สามารถสรุปข้อได้เปรียบจากการขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ ได้ตามต่อไปนี้

  1. รีเทล E-commerce กำลังโตขึ้นต่อเนื่อง ตามรายงานของ Statista ปริมาณการซื้อขายออนไลน์ภายในปี 2023 เพิ่มขึ้นสูง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ จากปี 2019  ที่มีเพียง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่ายังมีโอกาสที่ E-commerce จะยังขยายตลาดได้อีกเรื่อย ๆ ในปี 2024
  2. เข้าถึงตลาดได้ทั่วโลกเพียงไม่กี่คลิก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตามใจชอบ รวมถึงการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพสินค้าจากผู้ขายต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
  3. ค่าดำเนินการน้อยกว่าเปิดร้านค้าปลีก ใครก็สามารถทำธุรกิจ E-commerce ของตัวเองได้ เพราะการค้าขายออนไลน์ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องใช้พื้นที่ อุปกรณ์ และพนักงานมากเหมือนร้านค้าปลีก อีกทั้งร้านค้าอีคอมเมิร์ซสามารถทำให้เปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องมีคนเฝ้าหรือดูแลได้อีกด้วย
  4. ผู้บริโภคเข้าถึงได้โดยตรง การค้าขายออนไลน์ทำให้ผู้ขายสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวกลาง ช่วยให้เข้าใจความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าได้ดีขึ้น เพื่อปรับปรุงการบริการและสินค้าที่ขายให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ได้

ข้อพิจารณา การทำ E-commerce

การทำ E-commerce ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่บางธุรกิจก็อาจไม่เหมาะที่จะทำ E-commerce ก่อนจะเริ่ม เราอยากให้ลองพิจารณาจากเหตุผลต่อไปนี้

  1. ข้อจำกัดในการเจรจา การที่ไม่สามารถให้ลูกค้าได้สัมผัสหรือลองสินค้าได้ก่อนการซื้อ เป็นข้อจำกัดของ E-commerce ที่อาจทำให้ลูกค้าเกิดความลังเลถึงเรื่องคุณภาพ มักเป็นกับสินค้าประเภทเสื้อผ้า หรือรองเท้า แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้สำหรับทุกร้าน แต่สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือความน่าเชื่อถือ ทำให้การสร้างแบรนด์เป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำ
  2. ปัญหาด้านเทคนิค การค้าขายออนไลน์จำเป็นต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หากเกิดปัญหาสัญญาณเครือข่ายขัดข้อง เว็บไซต์ล่ม หรืออุปกรณ์เสียหาย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกับประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (User Experience) อาจส่งผลให้ยอดขายลดลงตามไปด้วย
  3. ความปลอดภัยของข้อมูล ยุคดิจิทัลที่ข้อมูล (Data) มีมูลค่าการซื้อขายมหาศาล ความปลอดภัยจึงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการทำธุรกิจทุกประเภท ผู้บริโภคมีความระมัดระวังมากขึ้นว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกเก็บหรือแชร์ออกไปที่ไหนได้บ้าง ถ้าเกิดว่าข้อมูลของผู้บริโภคถูกรั่วไหลและนำไปใช้ในทางที่ผิด อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชื่อเสียง ธุรกิจ และรายได้ขององค์กรได้
  4. ปัญหาการขนส่งสินค้า เมื่อธุรกิจเริ่มขยายใหญ่ขึ้น การจัดส่งสินค้าจำนวนมากจึงเป็นเรื่องที่ยากขึ้น ผู้ขายจะต้องคำนึงถึงค่าขนส่ง ระยะเวลาการจัดส่ง และความเสียหายของสินค้าระหว่างขนส่งอย่างรอบคอบ กรณีที่สินค้าเกิดความเสียหายหรือลูกค้ารอของนานเกินไป ย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจ และอาจกดยกเลิกคำสั่งซื้อไปเลยก็ได้

สินค้าประเภทไหน ที่ขายแบบ E-commerce ได้บ้าง

โลกยุคดิจิทัลที่ E-commerce กลายเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะขายอะไร ก็สามารถขายได้ แต่จะต้องไม่ผิดกฎหมาย และส่งผ่านทางขนส่งได้ แบ่งเป็นภาพกว้างได้ 3 ประเภทหลักต่อไปนี้

  • สินค้าที่จับต้องได้ (Physical Goods) อย่างเช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ เสื้อผ้า หรือสินค้าอุปโภคบริโภค
  • สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Digital Goods) อย่างเช่น แอปพลิเคชั่น ซอฟต์แวร์ เพลง หนัง รูปภาพ รหัสเกมหรือไอเท็มในเกม
  • บริการอำนวยสะดวก อย่างเช่น จองตั๋วเครื่องบิน/ตั๋วหนัง โรงแรมที่พัก คลินิกเสริมความงาม ฯลฯ

Tips : เพื่อให้สินค้าขายดี สำคัญคือต้องสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ต้องน่าสนใจและตรงกับความต้องการของผู้บริโภค จากนั้นค่อยอาศัยการทำ marketing เข้ามาช่วย เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้

ช่องทางขายสินค้าแบบ E-commerce

การนำสินค้าหรือบริการมาเสนอขายผ่านอินเทอร์เน็ต โดยอาศัยแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้ ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกสินค้าหรือบริการ การชำระเงิน และการบริการขนส่ง (ถ้ามี) การขายสินค้าแบบ E-commerce นั้นมีหลากหลายช่องทาง ตามต่อไปนี้

1. เว็บไซต์ E-commerce

เว็บไซต์ E-commerce เป็นเว็บไซต์ที่มีฟังก์ชันการซื้อขายสินค้าและบริการทางออนไลน์ โดยที่ผู้ขายสามารถสร้างได้ด้วยตัวเอง หรือใช้บริการแพลตฟอร์มที่ให้บริการการสร้างเว็บไซต์ E-commerce ตัวอย่างเช่น Shopify, Magento ฯลฯ

ข้อดีของเว็บไซต์ E-commerce

  1. สร้างตัวตนและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เว็บไซต์ E-commerce เปรียบเสมือนหน้าร้านของแบรนด์ ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าได้อย่างครบถ้วน ทำให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้น
  2. ออกแบบเว็บไซต์ได้ตามต้องการ เพราะธุรกิจมีหลายประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับโซลูชั่นของบริษัทและสร้างประสบการณ์ช็อปปิงที่ดีให้กับลูกค้า การออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ของตัวเองจะตอบโจทย์ที่สุด
  3. จัดเก็บข้อมูลลูกค้า และวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อขายได้ด้วยตัวเอง เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดทางธุรกิจต่าง ๆ

ข้อพิจารณาของเว็บไซต์ E-commerce

  1. ต้นทุนสูงในช่วงแรก ตั้งแต่ค่าออกแบบ ค่าพัฒนาเว็บไซต์ หรือค่าการตลาด
  2. เว็บไซต์ E-commerce จำเป็นต้องคอยดูแลรักษาและอัพเดทให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

2. ร้าน Marketplace

Marketplace เว็บไซต์ E-commerce ที่รวบรวมสินค้าและบริการจากผู้ขายหลายราย ให้บริการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยมีระบบการสร้างร้านค้า จัดส่ง การคืนสินค้า และรองรับการชำระเงินทางออนไลน์ สามารถลงขายสินค้าได้ฟรี แต่ผู้ให้บริการ Marketplace จะได้ส่วนแบ่ง % จากราคาสินค้า หรือค่าธรรมเนียมบางส่วน ตัวอย่างเช่น Lazada หรือ Shopee

ข้อดีของร้าน Maketplace

  1. เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้ทันที ไม่ต้องลงทุนด้านการตลาดมากนัก
  2. มีระบบการซื้อขายที่ครบวงจร ช่วยให้ผู้ซื้อกับผู้ขายเกิดความสะดวก
  3. ทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านหรือสร้างเว็บไซต์เอง ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากในการเริ่มธุรกิจ E-commerce ของตัวเอง

ข้อพิจารณาของร้าน Marketplace

  1. มีค่าธรรมเนียมรายปี หรือส่วนแบ่งจากยอดขายที่ต้องจ่ายให้กับร้าน Marketplace
  2. ในสินค้าประเภทหรือชนิดเดียวกัน เมื่อมีผู้ขายหลายราย การแข่งขันเรื่องราคาที่ถูก และโปรโมชั่นน่าดึงดูด จึงต้องให้ความสำคัญเป็นเรื่องแรก ๆ
  3. ผู้ขายจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้เครื่องมือกับเทคนิคของแพลตฟอร์ม Marketplace แต่ละร้าน และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3. Social Commerce

Social Commerce การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยใช้เป็นช่องทางโปรโมท และสื่อสารกับลูกค้า สามารถสั่งซื้อได้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือผ่านทางแอปที่เชื่อมต่อ อย่างเช่น Facebook Marketplace หรือ Line Shopping

ข้อดีของ Social Commerce

  1. ผู้ซื้อกับผู้ขายโต้ตอบกันโดยตรงได้ ทำให้เกิดการเจรจาต่อรอง และตกราคากันใหม่ได้
  2. สามารถสร้างแบรนด์และความไว้วางใจกับลูกค้า ด้วยกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ต่าง ๆ
  3. Social Media มีผู้ใช้งานจำนวนมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และกำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี การกำหนดความสนใจ พฤติกรรม หรือข้อมูลประชากร เพื่อโฆษณาจึงทำได้ค่อนข้างแม่นยำ

ข้อพิจารณาของ Social Commerce

  1. ความน่าเชื่อถือน้อยกว่าช่องทางอื่น เนื่องเพราะ Social Commerce ส่วนมากยังไม่มีระบบที่สนับสนุน E-commerce มากนัก
  2. ไม่ใช่สินค้าทุกประเภท ที่เหมาะกับทุกแพลตฟอร์มโซเชียล ผู้ขายต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด ว่าธุรกิจ E-commerce ตนเองเหมาะกับแพลตฟอร์มโซเชียลไหนมากกว่า แล้วจึงไปเน้นหนักด้านการตลาดที่เหมาะสมต่อไป

โปรโมทสินค้า E-commerce ทำไงให้ขายดี

ปัจจุบัน การแข่งขันในธุรกิจ E-commerce กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ต้องการรุกตลาดจึงต้องหาแนวทางที่ทำให้สินค้าและแบรนด์เป็นที่รู้จัก เพื่อเข้าสู่ช่วงเพิ่มยอดขายได้
การทำ E-commerce Marketing หรือการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ จึงนับเป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการในวงกว้างได้รวดเร็ว และใช้ต้นทุนน้อยกว่าช่องทางการตลาดอื่น ๆ

การตลาดบน Social Media

การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางโปรโมท ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Line, X, Youtube หรือ TikTok ด้วยการโฆษณาแบบจ่ายเงิน การจ้าง Influencer หรือการทำคอนเทนต์น่าสนใจเรียกผู้ติดตามแบบ organic ไม่ว่าธุรกิจจะเล็กหรือใหญ่ ก็ควรใช้สื่อ Social Media ทำการตลาด เพราะเป็นช่องทางที่ลูกค้าติดต่อเราได้สะดวกที่สุด

Tips : ปัจจุบัน แพลตฟอร์ม Social Media มีการพัฒนาฟีเจอร์สำหรับการซื้อขายสินค้า อย่างเช่น Facebook Marketplace, Instagram Shopping หรือ Tiktok Shopping ที่ช่วยให้แสดงสินค้าได้เหมือนร้านค้าออนไลน์

ทำอันดับคำค้นหาบน Google ด้วย SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization การพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ E-commerce ของผู้ขายถูกจัดอันดับให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ตามผลการค้นหาที่มีคนเสิร์ชบน Search Engine อย่าง Google หรือ Bing

Tips : การทำ SEO เป็นการตลาดที่ใช้เวลานานถึงจะเห็นผล จึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเรื่อง Algorithm เป็นอย่างดี เพื่อหา Factors ที่ใช้จัดอันดับของแต่ละโปรแกรมค้นหา แล้ววางแผนรายการที่จะทำก่อน-หลังอย่างละเอียดรอบคอบ

โฆษณาด้วย Google Ads

SEO การทำอันดับบนผลการค้นหาที่ใช้เวลาทำนาน ต้องลงทุนลงแรงมาก แต่เป็นผลดีต่อธุรกิจ E-commerce ในระยะยาว แต่ถ้าต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของ Google ในทันที การลงโฆษณา Google Ads จึงเป็นทางเลือกที่หลายธุรกิจเลือกทำ

Google Ads แพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์บนผลการค้นหา Google และในพื้นที่เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ร่วมมือกับทาง Google Ads หรือเรียกว่า Google Display Network (GDN)

เมื่อกลุ่มเป้าหมายค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ E-commerce ของคุณ โฆษณาก็จะแสดงขึ้นบนผลการค้นหาอันดับต้น ๆ เสมอ เป็นวิธีโปรโมทเว็บไซต์ E-commerce ที่เร็วและทำได้ทันที เพราะใช้เงินตลอดดำเนินการโฆษณา

Tips : ปัจจุบัน Google Analytics มีฟีเจอร์ชื่อ Enhanced E-commerce ที่ช่วยให้ธุรกิจ E-commerce สามารถเห็น Shopping Behavior และ Custom Journey ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาให้น่าสนใจ และ scope กลุ่มเป้าหมายให้ตรงมากขึ้นได้

ทิศทางของ E-commerce ในปี 2025

ปี 2025 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ E-Commerce ในประเทศไทย ธุรกิจออนไลน์จะไม่ใช่แค่การเปิดร้านขายของอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นระบบธุรกิจที่ต้องใช้ข้อมูล เทคโนโลยี และความเข้าใจลูกค้าอย่างรอบด้าน เพื่อแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

1. E-Commerce ไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือ “Data Business”

ในยุคนี้ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่แค่ร้านค้าที่ขายดี แต่เป็นร้านค้าที่สามารถเก็บและใช้ “ข้อมูลของลูกค้า” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามพฤติกรรมการซื้อ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำ Remarketing หรือสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization)

หลายธุรกิจไทยเริ่มนำระบบ Customer Data Platform (CDP) เข้ามาใช้เพื่อจัดการข้อมูล และทำให้การตลาดแม่นยำมากขึ้น

2. เทคโนโลยี AI และ Automation จะเป็นตัวแปรสำคัญ

ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในแทบทุกขั้นตอนของ E-Commerce ไม่ว่าจะเป็นการเขียนคอนเทนต์ ตอบแชทลูกค้า แนะนำสินค้า หรือวิเคราะห์รีวิว

ธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มใช้ AI จะสามารถลดภาระของทีมงาน เพิ่มความเร็วในการทำงาน และให้บริการที่ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนมาก

3. Mobile Commerce และ Social Commerce กลายเป็นช่องทางหลัก

ในประเทศไทย การซื้อของผ่านมือถือกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกซื้อสินค้าผ่านแอปอย่าง Shopee, TikTok Shop, Facebook หรือแม้แต่ Line OA มากกว่าการเข้าเว็บไซต์แบบเดิม

แพลตฟอร์มเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ช่องทางการโปรโมต แต่กลายเป็น “หน้าร้านหลัก” ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญทั้งด้าน UX การตอบแชท และการทำคอนเทนต์วิดีโอ

4. ความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือกลายเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ

ผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่โปร่งใส มีจริยธรรม และให้ข้อมูลครบถ้วน เว็บไซต์ควรมีนโยบายความเป็นส่วนตัว (PDPA), ช่องทางติดต่อที่เชื่อถือได้ และระบบรีวิวที่แสดงความจริงใจ เช่น รีวิวจากผู้ใช้จริง ไม่ปรุงแต่ง

5. การสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองกลับมาเป็นที่นิยม

แม้ Marketplace อย่าง Shopee หรือ Lazada จะยังคงสำคัญ แต่ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากเริ่มหันมาลงทุนสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อควบคุมประสบการณ์ลูกค้าได้มากขึ้น ลดค่าธรรมเนียม และสร้างแบรนด์ระยะยาว

ระบบ CMS หรือแพลตฟอร์มแบบ Headless CMS เช่น Shopify, Webflow, หรือ WooCommerce จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่ม SME ที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน

บทสรุป

สรุปแล้ว อีคอมเมิร์ซ E-commerce นั้นคือการซื้อขายสินค้าหรือบริการอำนวยสะดวกผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือที่มักเรียกว่า " การขายของออนไลน์ " ได้รับความนิยมสูงขึ้นมากหลายเท่าตัวในช่วงการระบาด COVID-19 ที่ผู้คนต้องเลี่ยงการออกนอกบ้านเป็นเวลานาน

สินค้าทุกประเภทที่ไม่ผิดกฎหมาย และส่งผ่านขนส่งได้ ล้วนสามารถลงขายแบบ E-commerce ได้ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ทั่วไป เฟอร์นิเจอร์ สินค้าอุปโภคบริโภค จนถึงบริการอย่างการจองตั๋วเครื่องบิน/ตั๋วหนัง หรือการจองโรงแรมที่พัก และอีกมากมาย

เป้าหมายการทำ E-commerce คือจะต้องขายสินค้าหรือบริการเพื่อสร้างกำไรได้ ในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง และมีผู้ขายมากมายที่ลงขายสินค้าประเภทหรือชนิดเดียวกัน จึงต้องหาช่องทางการขายที่เหมาะสมกับธุรกิจ และอาศัยกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี เพื่ออยู่รอดในสนามการแข่งขันนี้