April 24, 2024
ยุคดิจิทัลที่หลายทุกธุรกิจมุ่งสู่ออนไลน์ 'เว็บไซต์ (Website)' จึงเปรียบเสมือนการมีหน้าร้าน ที่สามารถดึงดูดผู้ซื้อและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้จริง ส่งผลให้ทักษะการทำ Web Development เริ่มมีความสำคัญ และเป็นที่ต้องการของตลาดสูงมากขึ้นในทุก ๆ ปี
ข้อมูลสถิติจาก Statista พบว่าในปี 2023 มีเว็บไซต์ที่ใช้งานอยู่มากกว่า 1.9 พันล้านเว็บ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2.5 พันล้านเว็บไซต์ ภายในปี 2026
หมายความว่า Website development จะยังคงเป็นทักษะที่มี potential สูงต่อไปอีกเรื่อย ๆ ครับ และสำหรับบทความนี้ พวกเรา Foxbith ได้เขียนเพื่อมุ่งหวังให้ผู้อ่านเข้าใจว่า Web development นั้นคืออะไร ภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้ ขั้นตอนพัฒนา รวมทั้งการแนะนำคอร์สเรียนที่สอนหลักสูตร Website development พร้อมใบเซอร์ (Certificate) อีกด้วย
Web development คือกระบวนการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ ด้วยภาษาโปรแกรมกับเครื่องมือสำหรับสร้างเว็บ ตั้งแต่ขั้นตอนวางโครงสร้าง ออกแบบ User Interface (UI) การเขียนโค้ดพัฒนาส่วนต่าง ๆ และดูแลระบบหลังจากที่เผยแพร่เว็บไซต์ให้ใช้งาน
นอกเหนือกระบวนการหลักในการพัฒนาเว็บไซต์ ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีที่มาช่วยทำ web development ให้มีประสิทธิภาพและเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
ตัวอย่างเช่น การนํา AI มาช่วยสร้าง UI/UX ให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มผู้ใช้ การใช้ Chatbot แทน Call Center เพื่อตอบคําถามลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือการเลือกใช้เทคโนโลยี AR/VR เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานเว็บให้น่าสนใจ
“Web development มีประเภทอะไรบ้าง” คำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าใช้เกณฑ์ไหนในการจำแนกครับ แต่ปกติแล้ว Web development จะนิยมแบ่งตามส่วนที่ทำงานของเว็บไซต์ ต่อไปนี้
ปัจจุบันมีภาษาโปรแกรมที่นักพัฒนาเลือกใช้ในการทำ Web development หลายภาษา ที่ต่างก็มีคุณสมบัติทั้งเด่นและด้อยแตกต่างกัน การจะเลือกใช้ภาษาใดนั้น อาจต้องขึ้นอยู่กับประเภทเว็บไซต์ ความเหมาะสม และความถนัดของ dev ด้วยนั้นเอง
พวกเรา Foxbith ได้คัดมา 5 ภาษาโปรแกรม ที่ได้รับความนิยมสำหรับนำไปใช้ทำ Web development ในปี 2024 ต่อไปนี้
‘JavaScript’ ครองที่หนึ่งสำหรับการทำ Web development เพราะเป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้สร้างการทำงานแบบไดนามิกบนเว็บไซต์หรือเว็บแอปพลิเคชัน ถูกใช้ทำงานร่วมกันกับ HTML และ CSS ในการสร้างคุณสมบัติส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (UI) อย่าง dropdown, modal หรือ popup ทั้งยังสามารถนำมาใช้สร้าง animation และ transition เพื่อเพิ่มลูกเล่นพิเศษให้กับเว็บไซต์ได้
‘Python’ ภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูง ในการทำ Web development เพราะมีโครงสร้างภาษาที่อ่านและเขียนได้ไม่ยาก ช่วยลดเวลาในการ Coding ให้ไวขึ้น ทั้งยังรองรับ OOP (Object Oriented Programming) ซึ่งเป็น paradigm ที่เหมาะสมกับการทำ Website development ทำให้ช่วยจัดการ state ได้ง่ายขึ้น
Java’ เป็นหนึ่งภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในการทำ Web development เพราะสามารถทํางานข้ามแพลตฟอร์มได้ดี เพียงออกแบบมาให้เขียนโปรแกรมเพียงครั้งเดียว ก็สามารถรันได้บนระบบปฏิบัติการต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องแก้ไขโค้ด และยังมีไลบรารี่กับเครื่องมือมากมาย ที่สนับสนุนการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้เป็นอย่างดี เช่น Java Servlets, JSP หรือ JSF
‘PHP’ ภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้กับการทำ Web development ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานด้าน server-side โดยเฉพาะ ผู้พัฒนาสามารถเขียนโค้ด PHP แทรกไว้ในโค้ด HTML เพื่อสร้างเนื้อหาแบบ dynamic ได้ ทําให้เว็บไซต์มีความสามารถในการแสดงผลแบบ real-time ได้ ถือเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง และยังทํางานได้ดีกับฐานข้อมูลหลายชนิด อย่าง MySQL, Oracle, PostgreSQL และ SQL Server
'TypeScript' ภาษาที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในกระบวนการ Web development ด้วย JavaScript ง่ายขึ้น ด้วยการเพิ่มระบบชนิดข้อมูลแบบ Static Typing เข้าไป ทําให้สามารถตรวจจับข้อผิดพลาดได้ในตอนเขียนโค้ดและช่วยให้เขียนได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังรองรับการเขียนโค้ดแบบ Object Oriented Programming ช่วยให้จัดระเบียบโค้ดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังรองรับ ES6, ES7 ล่าสุดได้ทันที ทําให้ใช้คุณสมบัติใหม่ ๆ ได้ก่อน JavaScript
เว็บไซต์ (Website) หรือเว็บแอปพลิเคชัน สามารถพัฒนาด้วยกระบวนการ Web development ทั้งหมด 6 ขั้นตอน ต่อไปนี้
การกำหนดความต้องการที่ชัดเจน เป็นสิ่งสำคัญก่อนเริ่มการทำ Web development เพื่อให้เข้าใจว่าต้องการสื่อสารอะไรกับผู้ใช้ อย่างเช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่ใช้เพื่อสนับสนุนการขายสินค้า หรือเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร โดยการกำหนดเป้าหมายก่อนเริ่มทำ จะช่วยให้เห็นทิศทางการพัฒนาเว็บไซต์ที่ชัดเจนก่อนลงมือทำจริง
ขั้นตอนการทำ Web Development นี้ เป็นการกำหนดว่าเว็บไซต์จะมีเนื้อหาอะไรบ้าง และควรจัดเรียงอย่างไรเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้สะดวก โดยการใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วจากขั้นตอนแรก มากำหนดขอบเขตเนื้อหาที่ต้องมีในเว็บ และแปลงขอบเขตเนื้อหาที่รวบรวมได้เป็นโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ทำได้จริง
การทำ Web development ในส่วนที่ต้องออกแบบ User Interface นั้น นักพัฒนาควรจะอาศัยผู้ที่ชำนาญการออกแบบกราฟิก และมีศิลปะในการเลือกใช้สี รูปภาพ และการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ดูน่าใช้งาน แต่การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีนั้นจะต้องใส่ใจถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ตอบสนองการใช้งานได้อย่างเหมาะสม
Web development ในขั้นตอนนี้ คือการนำข้อมูลจากขั้นตอนก่อนหน้ามาประกอบกันเพื่อสร้างเว็บไซต์ โดยใช้เครื่องมือช่วยพัฒนาเว็บ อย่างเครื่องมือสร้างและจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ (CMS) หรือ Framework ที่ช่วยให้การทำ Website development สะดวกมากขึ้นและในระหว่างเขียนโค้ดพัฒนาเว็บไซต์ นักพัฒนาจำเป็นต้องทดสอบเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา การเรียกใช้งานโปรแกรม และการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทำงานได้อย่างครบถ้วน และตรงกับความต้องการผู้ใช้
กระบวนการสำคัญในการนำเสนอเว็บไซต์ ที่พัฒนาแล้วเสร็จให้กับผู้ใช้งานทั่วไปบนโลกออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ รวมทั้งการโปรโมทเพิ่มคนรู้จักเว็บไซต์ ด้วยกลยุทธ์การตลาดต่าง ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้หลังจากที่เว็บถูกเผยแพร่แล้ว นักพัฒนายังจำเป็นต้องทดสอบการใช้งานอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหา bug ที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขั้นตอน Web development นี้ จะยิ่งช่วยให้พบข้อผิดพลาดและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
การบำรุงรักษาเป็นขั้นตอนนึงของกระบวนการ Web development ที่สำคัญ เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เมื่อพบข้อผิดพลาด ก็ควรจะแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ ด้วยการอัปเดตเนื้อหาภายในเว็บให้เป็นปัจจุบัน ปรับปรุงให้ทันสมัย และวิเคราะห์พฤติกรรมใช้งานของผู้ใช้ด้วยเครื่องมือทางการตลาด จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ
ปี 2024 นี้เป็นยุคที่ผู้บริโภคเกือบทุกคน นั้นเลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์หลายชั่วโมงต่อวัน ไม่ว่าจะเสพความบันเทิง ข่าวสาร หาความรู้ หรือแม้แต่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ทำให้การมีเว็บไซต์สำหรับทำธุรกิจจึงเวิร์กมากในตอนนี้แต่การสร้างเว็บไซต์ที่ดี จะต้องอาศัย ทั้งกระบวนการ ‘Website development’ ที่เป็นรากฐานสำคัญในการทำเว็บไซต์ หรือเว็บแอปพลิเคชันให้เกิดขึ้นได้ เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน ที่จะต้องวางแผนและควบคุมตลอดการก่อสร้างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากขาดหรือข้ามขั้นตอนใดไป ก็ย่อมส่งผลไม่ดีต่อทั้งคุณภาพ การใช้งาน และความสวยงามโดยรวมเหตุผลหลักที่ทำให้กระบวนการ Web development ยังสำคัญมาก
การศึกษากระบวนการ Web development ในปัจจุบัน นั้นมีช่องทางให้เลือกเรียนทางออนไลน์มากมาย ทั้งแบบฟรีและจ่ายเงินเรียน สำหรับผู้เริ่มศึกษา ในหัวข้อนี้พวกเรา Foxbith ได้คัดแหล่งเรียน Website development ที่น่าสนใจมาด้วยกัน 5 คอร์ส ต่อไปนี้ครับ
ผู้สอน :
Dr. Angela Yu
ระยะเวลา :
62 ชั่วโมง แบ่งเป็น 545 บทเรียน ที่มีวิดีโออธิบายและโค้ดตัวอย่าง
ระดับ :
เหมาะสำหรับทุกคน ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นที่ไม่เคยเขียนโปรแกรม หรือผู้ที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว
ราคา :
$199.99
'The Complete 2024 Web Development Bootcamp' คอร์สเรียนที่จะสอนการเป็น Full-Stack Web Developer ด้วยเนื้อหาที่มากกว่า 62 ชั่วโมง และจะได้เรียนรู้เครื่องมือกับเทคโนโลยีล่าสุด ที่บริษัทชั้นนำอย่าง Apple, Google และ Netflix เลือกใช้ อีกทั้งยังได้เห็นวิดีโอการทำโปรเจกต์ Website development ของจริงมากกว่า 16 โปรเจกต์
เหมาะกับผู้ที่ต้องการศึกษากระบวนการ Web development อย่างลงลึก ตั้งแต่พื้นฐานจนไปสู่การเป็น Web Developer ที่มีศักยภาพพร้อมทำงาน ที่ www.udemy.com
ผู้สอน :
Daniel Randall จาก University of California, Davis
ระยะเวลา :
ประมาณ 21 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 สัปดาห์
ระดับ :
Beginner level ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือความรู้เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม
ราคา :
เรียนฟรี หรือเลือกสมัคร Coursera Plus เพื่อรับใบรับรองได้
Web development คอร์สเรียนนี้ จะเริ่มสอนจากพื้นฐานการสร้างเว็บไซต์หรือเว็บแอปพลิเคชัน ด้วยภาษาหลักอย่าง HTML, CSS และ JavaScript เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างกับการทำงานของเว็บไซต์ ใช้เวลาประมาณ 21 ชั่วโมง หรือ 3 สัปดาห์ ในการเรียนรู้ทั้งหมด อีกทั้งยังได้เวิร์คช็อปทำเว็บไซต์ส่วนตัวหรือธุรกิจตนเอง และเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ที่ www.coursera.org
ผู้สอน :
Yaakov Chaikin อาจารย์ประจำที่ Johns Hopkins University
ระยะเวลา :
ประมาณ 40 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 สัปดาห์
ระดับ :
ความยากเบื้องต้น เหมาะกับผู้ศึกษาที่ต้องการฝึกใช้เครื่องมือพื้นฐาน
ราคา :
เรียนฟรี หรือจ่ายเงิน $49 เพื่อขอใบรับรอง
คอร์สเรียน Web development นี้จะเน้นสอนการใช้ภาษา HTML, CSS และ JavaScript และหลักการพื้นฐานของการพัฒนาเว็บไซต์ อย่างการใช้ Bootstrap framework เพื่อออกแบบหน้าเว็บ, การใช้งาน jQuery Library เพื่อเพิ่มการโต้ตอบกับผู้ใช้, การใช้ AJAX สำหรับสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ และการเลือกใช้ Node.js เพื่อสร้างเว็บเซิร์ฟเวอร์ ที่ www.coursera.org
ผู้สอน :
ไม่มีผู้สอนแบบสด แต่มีเนื้อหาวิดีโออธิบายขั้นตอนการ Coding และมีระบบแนะนำตรวจสอบโค้ดด้วย AI
ระยะเวลา :
30-150 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเส้นทางการเรียน (Career path) หรือเส้นทางฝึกฝนทักษะ (Skill path) ที่คุณเลือก
ระดับ :
มีทั้งระดับมือใหม่ (Beginner) หรือระดับกลาง (Intermediate) ให้เลือก
ราคา :
เรียนฟรีเนื้อหาคอร์สบางส่วน หากต้องการเข้าเรียนได้ทุกเนื้อหา จะต้องสมัครสมาชิกแบบ Pro ที่ราคา $19.99 ต่อเดือน
คอร์สเรียน Web development ในเว็บไซต์ Codecademy จะสอนเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชัน ตั้งแต่พื้นฐานภาษาเขียนอย่าง HTML, CSS, JavaScript และเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง React Node, Web3 ฯลฯ อีกทั้งยังได้รู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ Web developer พร้อมลงมือสร้างผลงานจริงด้วยตัวเองกว่า 16 โปรเจกต์ เพื่อนำไปใช้ประกอบ CV หรือ Resume ในการสมัครงาน ที่ www.codecademy.com
ผู้สอน :
ไม่มีผู้สอนแบบสด แต่มีเนื้อหากับแบบฝึกหัดที่จัดทำโดย Quincy Larson และทีมงานของ freeCodeCamp.org
ระยะเวลา :
เวลาเรียนไม่กำหนดชัดเจน สามารถเลือกเรียนเองได้ตามสะดวก
ระดับ :
เหมาะกับผู้เรียนทุกระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นเรียนจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ
ราคา :
เรียนฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แถมมีใบรับรอง (Certification) ให้กับผู้เรียนที่ผ่านทุกโปรเจกต์ทดสอบ
‘freeCodeCamp’ แพลตฟอร์มที่มีหลักสูตรเรียน Coding กับการทำ Web development ได้ฟรีกว่า 3,000 ชั่วโมง หากจะศึกษาและผ่านทุกโปรเจกต์ตามที่กำหนด
ผู้เรียนจะได้ความรู้กับทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็น Full stack developer ได้ ตั้งแต่พื้นฐานการเขียนโค้ด จนถึงการใช้เฟรมเวิร์กและเครื่องมือที่ทันสมัยมากมาย ทั้งยังสามารถเลือกศึกษาได้เอง ซึ่งถ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถสอบถามได้ในฟอรั่มของ freeCodeCam ที่ www.freecodecamp.org
สรุปแล้ว Web development คือกระบวนการสร้างเว็บไซต์ ที่มีแบบแผนเป็นขั้นตอนชัดเจน ที่เริ่มด้วยการสำรวจและวิเคราะห์ requirement อย่างละเอียด แล้วนำมาจัดโครงสร้างที่ต้องมีในเว็บ เพื่อไปสู่ขั้นตอนการเขียนโค้ด ทดสอบ และเผยแพร่ให้ใช้งานจริงกันต่อไป
ถือเป็นงานที่ท้าทายไม่น้อย เพราะนักพัฒนาเว็บไซต์ หรือ Web dev ในปี 2024 นั้นจะต้องติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในขั้นตอนการทำ Website development ให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด
ลองปรึกษาเรื่อง Web development กับพวกเรา Foxbith ไหม
อ่านมาถึงตรงนี้ หากใครที่ยังสงสัยหรืออยากได้คำปรึกษาจากนักพัฒนาตัวจริง ที่มีประสบการณ์ทำเว็บไซต์ และเว็บแอปพลิเคชัน
สามารถติดต่อพวกเรา Foxbith ทีมนักพัฒนา ที่พร้อมให้บริการรับจ้างทำเว็บไซต์ เขียนโปรแกรม และรับทำแอปพลิเคชัน เพื่อทุกธุรกิจหรือองค์กรได้อย่างตอบโจทย์